วันพุธที่ 31 สิงหาคม พ.ศ. 2554

แฟชั่นผู้ชาย 2 MEN?s LOOK


แฟชั่นผู้ชาย 2 MEN?s LOOK

MEN’s LOOK
ให้ฤดูแห่งสายน้ำปีนี้ สดใสมีสไตล์กับ 2 ลุคเท่ๆ เพื่อคุณโดยเฉพาะ!

 


แฟชั่นผู้ชาย 2 MEN?s LOOK


Sport Classic!

1 กระเป๋าสะพายข้าง สีดำ จาก Ermenegildo Zegna ราคาสอบถามที่ราน
2 เสื้อสปอร์ตแขนยาว สีดำ จาก NIKE ราคาสอบถามที่ร้าน
3 นาฬิกา รุ่น Seasport สีดำ จาก Lacoste ราคา 10,900 บาท
4 รองเท้าสปอร์ต สีดำ-ฟ้า จาก NIKE ราคาสอบถามที่ร้าน
5 รองเท้าสปอร์ต สีขาว จาก NIKE ราคาสอบถามที่ร้าน


เน้น Prop เท่ๆ ให้ลุคสบายๆ ดูไม่ธรรมดา ไม่ว่าจะเป็น นาฬิกา กระเป๋า ให้ซีซั่นนี้ คุณฮอตเกินใคร เชื่อเรา!



Casual Hottess!

1 นาฬิกา รุ่น Techno Hip จาก DIESEL ราคา 7,500 บาท
2 น้ำหอม DKNY Men Summer จาก DKNY ราคา 2,100 บาท
3 นาฬิกาดีไซน์เก๋ สีดำ จาก MOMO DESIGN ราคา 28,400 บาท
4 ชุดผลิตภัณฑ์ดูแลผิวหน้า WHITE PEEL จาก BIOTHERM HOMME ราคาสอบถามที่ร้าน
5 กระเป๋ารุ่น Steve 44 หนังวัว (Canargue Taurillon Calfskin) จาก HERMES ราคาสอบถามที่ร้าน
    

วันจันทร์ที่ 29 สิงหาคม พ.ศ. 2554

นาฬิกาผู้ชาย Carbon Concept by AP


นาฬิกาผู้ชาย Carbon Concept by AP
Carbon Concept by AP
เทคนิคทั้งเรือน
 
โอเดอะมาร์ส ปิเกต์ 
(Audemars Piguet) เปิดตัวนาฬิกาน้ำหนักเบาพิเศษ เรือนแรกที่เป็นการผสมผสานระหว่างตัวเรือนและกลไกจากคาร์บอน ร่วมกับความสลับซับซ้อนของชิ้นส่วนถึง 384 ชิ้น ที่ประกอบ กันขึ้นเป็นกลไกไขลานทูร์บิญองโครโนกราฟ Calibre 2895





เสน่ห์ของดีไซน์พิเศษของตัวเรือนและกลไกคาร์บอนจากนาฬิการุ่น Royal Oak Carbon Concept Tourbillon and Chronograph

 




กลไกไขลาน Calibre 2895 คู่ทูร์บิญองและบรรจุระบบจับเวลาโครโนกราฟ


ก้าวที่ล้ำหน้าเสมอ
ครั้ง แรกกับการเปิดตัวนาฬิกาคอนเซ็ปต์สร้างสรรค์กับการเลือกใช้วัสดุตัวเรือนที่ แตกต่างไปจากอดีตและโดดเด่นจากกลุ่มนาฬิกาสปอร์ตด้วยกัน ในรุ่น รอยัล โอ๊ก คาร์บอน คอนเซ็ปต์ ทูร์บิญอง แอนด์ โครโนกราฟ (Royal Oak Carbon Concept Tourbillon and Chronograph) ด้วยการเป็นผู้ผลิตนาฬิการายแรกและรายเดียวที่หันมาทุ่มเทกับการวิจัยและ พัฒนาเทคโนโลยีคาร์บอนอย่างจริงจัง กระทั่งสามารถปล่อยผลผลิตจากโรงงานในเมือง เลอ บราซูส (Le Brassus) สู่การเป็นนาฬิกาเรือนแรกที่ประกอบทั้งตัวเรือนและกลไกทำจากคาร์บอน วัสดุที่ใช้อย่างแพร่หลายในอุตสาหกรรมการบินและการผลิตชิ้นส่วนเครื่องยนต์ ขนาดใหญ่

ด้วยคุณสมบัติเด่น
คือความแข็งแกร่งเป็นเลิศและน้ำหนักเบา โดย Audemars Piguet ถือเป็นผู้ผลิตนาฬิการายแรกที่ประยุกต์ใช้วัสดุชนิดนี้กับนาฬิกาข้อมือ โดยมาพร้อมนวัตกรรมของการใช้คาร์บอน คาร์บอนเผา และการเคลือบผงคาร์บอนร่วมกับวัสดุหลากชนิด ได้แก่ เซรามิก ไทเทเนียม และไทเทเนียมออกไซด์ ได้อย่างลงตัวที่สุดเท่าที่เคยมีมา

เผยเสน่ห์ของมนต์แห่งสีดำเหล่านี้ผ่านหน้าปัดแบบสเกเลตัน แสดงผลการจับเวลานาทีแบบสเกลแนวตั้งเหมือนสเกลบอกปริมาณน้ำมันเชื้อเพลิงใน เครื่องยนต์ และด้วยแรงบันดาลใจที่ได้มาจากคาร์บอนล้วนๆ จึงได้มาเป็น ตัวเรือนสีดำจากคาร์บอนเผา ขอบตัวเรือนเซรามิก และวงแหวนของฝาหลังทำจากไทเทเนียมเคลือบ PVD สีดำ  ส่วนกลางเจาะช่องเพื่อติดกระจกใสเผยให้เห็นการทำงานของกลไกภายใน โดยมีขนาดตัวเรือนใหญ่ถึง 44.0 มิลลิเมตร ผนึกด้วยกระจกหน้าปัดคริสตัลแซพไฟร์กันแสงสะท้อน คู่หน้าปัดแบบเปลือยมองทะลุผ่านกลไก ครอบไว้เพียงวงแหวนหน้าปัดที่ติดด้วยเครื่องหมายขีดบอกชั่วโมงเรืองแสงและ เครื่องหมายขีดบอกนาทีสีขาว เข็มชี้เวลาแบบสเกเลตันเคลือบสารเรืองแสง สมกับที่เป็นนาฬิกาคอนเซ็ปต์สปอร์ตด้วยคุณสมบัติอันครบครัน และด้วยภาพลักษณ์สไตล์ล้ำสมัยเหนือใคร


 





ทูร์บิญอง ประกอบด้วยชิ้นส่วนกว่า 70 ชิ้น แต่มีน้ำหนักเพียง 0.45 กรัม
ผ่านกระบวนการเคลือบด้วย PVD สีดำ ตัดด้วยการประกอบสะพานจักรสีเงิน และทับทิม ณ กลางหัวใจทูร์บิญอง




อัจฉริยะอันเป็นตราสัญลักษณ์ของ Calibre 2895

อย่า มัวแต่มองเพลินและหลงใจไปกับรูปลักษณ์ภายนอก เท่านั้นนะครับ เพราะของดีจริงๆ แล้วนั้นบรรจุอยู่ในหัวใจการทำงานของอัจฉริยะกลไกไขลานคู่ทูร์บิญอง ผลงานการประดิษฐ์ของ Audemars Piguet เอง ในชุด Calibre 2895ที่คุณลักษณะและคุณสมบัติโดยรวมแล้วประกอบด้วยทับทิม 34 เม็ด ชิ้นส่วนทั้งหมดรวม 384 ชิ้น ทำงานด้วยความถี่ 21,600 ครั้ง/ชั่วโมง และเด่นด้วยการสำรองพลังงานได้นานถึง 237 ชั่วโมง สะพานจักรทำจากอะลูมิเนียม คู่กับแท่นเครื่องคาร์บอนแบบด้านธรรมชาติ ทำหน้าที่ควบคุมฟังก์ชันแสดงเวลาชั่วโมง นาที จับเวลานาทีด้วยเข็มและหน้าปัดออกแบบเป็นสเกลแนวตั้ง เข็มจับเวลาวินาทีแบบกวาด และแสดงพลังงานสำรอง

 







กลไกที่ประกอบเข้ากับรายละเอียดของหน้าปัดบางส่วน
ที่ออกแบบมาเพื่อเปิดเปลือยให้เห็นกลไกคาร์บอนและทูร์บิญองเคลือบ PVD สีดำ




แต่หากศึกษาให้ลึกซึ้งแล้ว กลไกชุดนี้มีเสน่ห์และศักยภาพการทำงานที่เหนือกว่ากลไกจักรกลทูร์บิญองทั่ว ไป โดยได้มาจากการที่ Calibre 2895 บรรจุภายในด้วยระบบตลับลานชุดคู่ 2 ตัว ที่มีอัตราการหมุนอย่างรวดเร็วกว่าปกติ ด้วยจำนวนการหมุนถึง 19.75 รอบของตลับลานแต่ละตัว จึงทำให้มั่นใจได้ถึงการสร้างพลังงานอันสม่ำเสมอตลอด 237 ชั่วโมง และรับประกันได้ถึงความเที่ยงตรงในการบอกเวลาที่ยกระดับขึ้นด้วยเช่นกัน ซึ่งแท้จริง ระบบนี้สามารถให้พลังงานได้มากถึงราว  290 ชั่วโมง แต่เพื่อรักษาความเสถียรของปริมาณพลังงานและการทำงานบอกเวลาอย่างมี ประสิทธิภาพสูงสุด ทำให้ต้องติดตั้งระบบล็อกอัจฉริยะ เมื่อถึงระดับที่พลังงานต่ำสุดและสูงสุด เป็นการเตือนให้เกิดการไขลานใหม่และกำหนดปริมาณพลังงานที่แน่นอนในการไขลาน เต็มแต่ละครั้งไว้ที่ 237 ชั่วโมง โดยรอบการหมุนไขลาน 19.75 ของแต่ละตลับลาน ซึ่งเป็นจำนวนที่ดีเหนือค่าเฉลี่ยปกติทั่วไปนี้เกิดขึ้นได้ก็เนื่องมาจากการ ประดิษฐ์และการใช้สปริงลานชนิดบางพิเศษ




สเกลแนวตั้งทำหน้าที่เป็นหน้าปัดย่อยแสดงผลการจับเวลานาน 30 นาที


และการแสดงพลังงานสำรองคงเหลือได้ อย่างเที่ยงตรงและเชื่อถือได้ผ่านสเกลสีแดงคู่เข็มชี้ที่ 12 นาฬิกานั้น เป็นผลพวงสำคัญมาจากการพัฒนาการเด่นๆ อีก 2 ประการ  นั่นคือ การพัฒนาระบบแสดงพลังงานสำรองด้วยการถ่ายกำลังผ่านชุดแปลงพลังงานทรงกรวย คว่ำแบบคู่ผ่านการพัฒนาโดย Audemars Piguet ในปี 1885 โดยโรงงานการผลิตได้ประยุกต์ใช้ระบบนี้กับนาฬิกาข้อมือ จึงทำให้สามารถปรับตั้งช่วงกว้างของเข็มชี้ระดับพลังงานให้มีความเที่ยงตรง สูงสุด

ประการที่ 2 คือการคิดค้นและพัฒนาอุปกรณ์ทรงกรวยทำจากทองแดงผสมเบริลเลียม และเคลือบด้วยผงคาร์บอน ที่เคลื่อนตัวขึ้นและลงบนแกนหรือแขนของตลับลาน ตามระดับของการไขลานนาฬิกา ซึ่งเมื่อตำแหน่งของกรวยต่ำลงตลับลานจะถูกไขลานเต็ม ในทางตรงกันข้าม หากตำแหน่งของกรวยสูงขึ้น นั่นหมายถึงระดับพลังงานกำลังลดลง และเมื่อใดที่กรวยตัวที่ 2 ซึ่งเคลือบด้วยผงคาร์บอนเช่นเดียวกัน เข้าสัมผัสกับกรวยตัวเคลื่อนที่นี้ ก็จะเป็นการรับข้อมูลและถ่ายทอดไปยังเข็มชี้บอกระดับพลังงานสำรองที่ 12 นาฬิกาที่เราเห็นบนหน้าปัดนาฬิกา ด้วยเทคนิคการเคลือบผงคาร์บอนบนกรวยทั้ง 2 ตัว ยังเป็นการรับประกันได้ถึงคุณสมบัติอันพิเศษของกระบวนการถ่ายเทพลังงานของ ทั้ง 2 กรวยนี้อีกด้วย

นอกจากนี้เพื่อเพิ่มระดับความมั่นใจและความเที่ยงตรงของการแสดงพลังงานสำรอง ในกรณีที่กลไกได้รับผลกระทบอย่างรุนแรงหรือในกรณีฉุกเฉินใดๆ เจ้าของก็ยังสามารถเพิ่มพลังงานให้กับกลไกผ่านการไขลานมือแบบชั่วคราวซึ่งมี ระบบเฟืองตัวเล็กและชุดเฟืองคอยรองรับไว้เป็นทางเลือกที่ 2 อีกด้วย


 



ผลงานการออกแบบหน้าปัดเปลือยและฉลุให้เห็นการทำงานของกลไกบางส่วน


ปิดท้ายด้วยความพิเศษที่ไม่เหมือน ใครอีกข้อหนึ่งของ Calibre 2895 นั่นก็คือ การบรรจุด้วยระบบจักรกลพิเศษเพื่อแสดงการเลือกโหมดบอกเวลาได้ ด้วยเข็มบนหน้าปัดย่อยที่ 6 นาฬิกา ที่ชี้บอกฟังก์ชันที่เรากำลังเลือกใช้อยู่ คู่กับสัญลักษณ์ตัวอักษร H, N และ R ที่ทำงานสอดคล้องกับตำแหน่งทั้ง 3ตำแหน่งของก้านไขลาน โดย N หมายถึงNeutral คือฟังก์ชันกลางR หมายถึง Winding คือการไขลาน และ H หมายถึง Time-setting คือการปรับตั้งเวลา

ในขณะที่กรงทูร์บิญองดีไซน์แปลกตา ที่เราเห็นอยู่นี้ ประกอบด้วยชิ้นส่วนกว่า 70 ชิ้น แต่เชื่อหรือไม่ว่ามีน้ำหนักเพียง 0.45 กรัมเท่านั้น เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพในการหมุนรอบตัวเองได้เร็วขึ้น และเพื่อให้เข้ากับคอนเซ็ปต์ ทูร์บิญองตัวนี้จึงผ่านกระบวนการเคลือบด้วย PVD สีดำ สลับกับบางส่วนที่เป็นสเตนเลสสตีลสีเงินขัดเงาวาว ให้ภาพลักษณ์ในแบบทูโทนและมีมิติในมุมมองมากขึ้น

 



ดีไซน์อันโดดเด่นทั้งตัวเรือนของนาฬิการุ่น Royal Oak Carbon Concept Tourbillon and Chronograph

ยกนิ้วให้กับการออกแบบอันล้ำสมัย
ใน ขณะที่ผู้ผลิตนาฬิกาชั้นสูงหลายค่าย พยายาม เปิดตัวระบบจักรกลและชุดรางเฟืองพิเศษของตนเอง แต่กับนาฬิกาRoyal Oak Carbon Concept Tourbillon and Chronograph รุ่นใหม่นี้กลับเป็นการทุ่มเทที่จะนำเสนองานด้านดีไซน์ล้ำสมัยด้วยการเลือก ใช้วัสดุชนิดใหม่ และเลือกที่จะเผยให้เห็นส่วนประกอบอันเป็นกุญแจสำคัญของกลไก นั่นคือ กรงทูร์บิญอง และศูนย์กลางประสาทของเครื่องจักรกลจับเวลาโครโนกราฟนั่นคือ คอลัมน์วีล  ด้วยการออกแบบเสมือนไร้หน้าปัด แต่ปรากฏเป็นภาพของแท่นเครื่องสีดำทะมึนซึ่งทำจากคาร์บอนแทน และขับเคลื่อนชีวิตชีวาให้เห็นผ่านการเคลื่อนที่ของเข็มชี้เวลาแบบเดี่ยว ทั้งบนสะพานทูร์บิญอง ที่ 9 นาฬิกา และบนหน้าปัดบอกนาที ที่ 3 นาฬิกา คู่กับการแสดงพลังงานสำรองบนหน้าปัดที่ 12 นาฬิกา และแสดงฟังก์ชันที่เลือกใช้งานอยู่บนหน้าปัดทรงพิเศษที่ 6 นาฬิกา เฉกเช่นเดียวกับการเปิดเปลือยของงานออกแบบฝาหลังแบบเปลือย โชว์ให้เห็นสะพานจักรที่เป็นงานฉลุ ทำให้มองทะลุผ่านจนเห็นการทำงานของทูร์บิญอง ระบบจักรกลของโครโนกราฟ และการทำงานของคอลัมน์วีลได้บางส่วนพอให้เห็นเสน่ห์ เพิ่มความโดดเด่นด้วยการตัดกันระหว่างสีเขียวของสะพานจักรตัวกลางและสีดำของ แท่นเครื่อง

และนอกจากความมหัศจรรย์ของการทำงานอย่างเสถียรของทูร์บิญองแล้ว นาฬิการุ่นนี้ยังผ่านการออกแบบพิเศษให้เข้ากับรูปแบบการแสดงผลการจับเวลา เป็นนาทีผ่านสเกลแนวตั้งที่ 3 นาฬิกา ซึ่งเป็นผลงานการพัฒนาโดย Audemars Piguet ที่ประกอบด้วยความสลับซับซ้อนของโครงสร้าง บรรจุด้วยสเกลแนวตั้งคู่ (10 เท่าของนาที จาก 1-2 และหน่วยของนาที จาก 0-9 )  และช่วงนาทีที่คาบเกี่ยวกันในฟังก์ชันจับเวลาโครโนกราฟ สามารถอ่านค่าได้ผ่านการเปิดช่องว่างระหว่างสะพานจักรของหน้าปัดย่อยชนิดนี้ คู่กับสัญลักษณ์ของการจับเวลาแต่ละประเภท โดยเปลี่ยนจากสีขาวซึ่งเป็นการแสดงระบบจับเวลาปกติสู่สีดำของการแสดงช่วง เวลาที่คาบเกี่ยว

แม้จะอาศัยเพียงหลักการ ง่ายๆ แต่ผ่านแนวความคิดและฝีมือการประดิษฐ์มาแล้วอย่างดีโดยช่างและทีมงานของ Audemars Piguet จนได้มาเป็นผลงาน Royal Oak ที่คุณเห็นแล้วเป็นต้องยกนิ้วให้กับนาฬิกาเทคนิคทั้งเรือนรุ่นนี้ !

................................................................................

คุณสมบัติกลไก : Calibre 2895

กลไก :
ระบบไขลาน
คู่ทูร์บิญองหมุนรอบ 1 นาที
ขนาดเส้นผ่าศูนย์กลาง 34.6 มิลลิเมตร (15 1/3 lignes) หนา 12.01 มิลลิเมตร
ทำงานด้วยความถี่ 21,600 ครั้ง/ชั่วโมง
ตลับลานเมนสปริง 4 ตัว เรียงขนานกัน
สำรองพลังงานนาน 237 ชั่วโมง
ทับทิม 34 เม็ด สำหรับเสริมประสิทธิภาพการทำงานของฟังก์ชัน
ชิ้นส่วนกลไกรวม 384 ชิ้น
ตกแต่งและขัดมุมด้วยมือ พื้นผิวชิ้นส่วนกลไกแบบขัดเงาสลับขัดด้าน
แท่นเครื่องคาร์บอน คู่สะพานจักรอะลูมิเนียม

ฟังก์ชัน :
แสดงเวลาและฟังก์ชันการทำงานเป็นหนึ่งเดียวกับกลไก
บอกชั่วโมงและนาที บนหน้าปัดกลาง
บอกวินาทีด้วยเข็มกลางแบบกวาดเที่ยงตรงสูง
แสดงผลการจับเวลานาน 30 นาที บนสเกลแนวตั้งที่ 3 นาฬิกา
แสดงพลังงานสำรองคงเหลือบนหน้าปัดออกแบบพิเศษคู่เข็มชี้ที่ 12 นาฬิกา
แสดงฟังก์ชันที่เลือกใช้อยู่บนหน้าปัดออกแบบพิเศษคู่เข็มชี้ที่ 6 นาฬิกา

การปรับตั้ง :
เม็ดมะยมคาร์บอน 1 เม็ด สำหรับไขลาน เลือกโหมดการแสดงฟังก์ชันที่ใช้อยู่ และปรับตั้งเวลา
ปุ่มกดคาร์บอน 2 ตำแหน่ง ควบคุมการทำงานของฟังก์ชันจับเวลา

ความพิเศษของตัวเรือน :
ตัวเรือนเคลือบคาร์บอน
ขอบตัวเรือนเซรามิก
วงแหวนบนฝาหลังเป็นไทเทเนียมเคลือบ PVD สีดำ
ขนาดเส้นผ่าศูนย์กลาง 44.0 มิลลิเมตร หนา 15.85 มิลลิเมตร
ฝาหลังติดด้วยกระจกคริสตัลแซพไฟร์
กันน้ำได้ลึก 100 เมตร ประกอบสายหนังจระเข้เย็บตะเข็บมือและหัวเข็มขัดไทเทเนียมสลักโลโก้ AP

วันศุกร์ที่ 26 สิงหาคม พ.ศ. 2554

History on the Street วัฒนธรรมแฟชั่นสตรีทมาจากไหน





Historyon the Street
วัฒนธรรมแฟชั่นสตรีทมาจากไหน  เด็กสตรีทคือใคร และ ทำไมถึงต้องสตรีท คำถามเหล่านี้จะถูกตอบได้ภายในบทความที่ท่านกำลังอ่านซึ่งมีการวิจัยโดยสถาบันพัฒนาและส่งเสริมการวิจัยเด็กสตรีทมาแล้วว่าสามารถอ่านจบได้ภายใน 3 นาที


What is the Street Culture?วัฒนธรรมสตรีทเป็นวัฒนกรรมกลุ่มย่อย (Sub Culture) ของคนในสังคมเมืองใหญ่
ที่มักจะแตกต่างจากวัฒนธรรมกระแสหลักอย่างสิ้นเชิง วัฒนธรรมสตรีทนั้นถูกหล่อหลอมขึ้นจากอิทธิพลของศาสตร์หลายแขนง ทั้งกีฬา Extreme อาทิ การโต้คลื่น และสเก็ตบอร์ด และ ดนตรีอย่างเช่น Hip Hop Rock และ Punk รวมไปถึงศิลปะเช่น ลายกราฟิตี การเต้นเบรคแดนซ์ และ การแสดงข้างถนน( Street Performance)





 



 Street’s Origin
ณ ประเทศอเมริกา บนริมหาดฝั่งตะวันตก (West Coasts) ในแคลิฟอร์เนีย นักโต้คลื่นท้องถิ่นซึ่งใช้ชีวิตส่วนใหญ่ร่อนทะเลอยู่กับเซิร์ฟบอร์ดและจีบ สาวๆอยู่ริมหาด ได้ร่วมกันตั้ง “สังคม คนเซิร์ฟ” (Surf Community)  ขึ้นมาและสร้างวัฒนธรรมกลุ่มย่อยขึ้นไม่ว่าจะเป็น การแต่งตัวและรูปแบบการใช้ชีวิต ในเวลาต่อมาช่วงปี ค.ศ. 1940 นักโต้คลื่นกลุ่มนี้ได้คุยกันว่าการเซิร์ฟนั้นไม่ควรจะจำกัดอยู่แค่บนคลื่น เท่านั้น มิเช่นนั้นพวกเขาจะไม่มีอะไรเล่นกันในช่วงที่ไม่มีคลื่น ซึ่งความคิดนี้เองที่ทำให้พวกเขาได้รื้อกล่องไม้แล้วเอามาแผ่นหนึ่งติดล้อ เล็กๆเข้าไป จากนั้นเล่นร่อนไถแผ่นไม้นี้ไปเรื่อยๆทั่วเมือง ต่อมาอุปกรณ์ชนิดนี้ถูกเรียกว่า “สเก็ตบอร์ด”  และไม่นานนักที่คนในท้องถนนต่างเห็นพวกเขากำลังพลิ้วไหวกับสเก็ตบอร์ด“สังคม คนสเก็ต” (Skateboarding Community) จึงเกิดขึ้น


 
1. ภาพถ่ายโฆษณา Fashion Street ชุดแรกสุดของ STUSSYโดย ช่างภาพแฟชั่น RON LEIGHTON (1983-1986)








มา ทางด้านหาดฝั่งตะวันออก (East Coast) กันบ้าง เมื่อวัฒนธรรม Hip Hop ได้เกิดเปิดตัวขึ้นท่ามกลางมหานครนิวยอร์คในช่วงยุคปี ค.ศ. 1970 ทั้งรูปแบบการเต้น การร้องเพลงแร็พ และ การแต่งตัวของเหล่าดารานักร้องผิวหมึกก็เป็นวัฒนธรรมกลุ่มย่อยที่เริ่มได้ รับการยอมรับมากขึ้นเรื่อยๆ จน STUSSY แบรนด์เสื้อผ้าแฟชั่นสมัยนั้นได้เล็งเห็นถึงการนำวัฒนธรรมทั้งทางฝั่งตะวัน ตกและตะวันออกมาผสมผสานกัน


   โฆษณาของ STUSSY ในยุคปัจจุบัน

โดย ได้ลองนำลวดลายศิลปะ Graffiti ของฝั่งฮิปฮอปตะวันออกมาผสมผสานเข้ากับวัฒนธรรมการโต้คลื่นและการเล่น สเก็ตบอร์ดของฝั่งตะวันตก จนได้ออกมาเป็นเสื้อผ้าแฟชั่นที่มีลวดลายแปลกตาไม่ซ้ำใคร ซึ่งก็เป็นที่ถูกอกถูกใจของคนทั้งฝั่งตะวันออกและตะวันตกมากซึ่งตรงจุดนี่ เองที่ถือเป็นการเชื่อมวัฒนธรรมของสังคมต่างๆเข้าด้วยกันไม่ว่าจะเป็นสังคม Hip Hop การเซิร์ฟ และ สเก็ตบอร์ด จนเกิดเป็นวัฒนธรรมใหม่ที่เรียกว่า วัฒนธรรมสตรีท (Street Culture)  ในช่วงปีค.ศ. 1980
 
   




นับแต่จุดกำเนิดของวัฒนธรรมสตรีทเมื่อปี 80 ไม่นานนักกลิ่นอายของความเป็นสตรีท ก็กระจายไปทั่วโลก ในยุค 90 บนถนนฮาราจูกุ ถนนแห่งแฟชั่นของวัยรุ่นเมืองปลาดิบถูกวัฒนธรรมสตรีทกระแทกเข้าอย่างจังจนทำ ให้บัดเดี๋ยวนี้ญี่ปุ่นกลายเป็นหนึ่งผู้นำระดับเทพทางด้านแฟชั่นสตรีทของโลก


 





Who is Dek-Street?
ทีนี้มาถึงคำถามสำคัญว่าแล้วคำว่า “เด็กสตรีท” ในประเทศไทยนั้นโดยรวมแล้วหมายถึงอะไร ซึ่งคำถามนี้ก็คงไม่ต่างกับการค้นหาคำตอบว่า ศิลปะ หมายถึงอะไร แต่หากจะให้พูดให้เห็นภาพชัดเจนก็คงจะหมายถึง คนรุ่นใหม่ที่มีรูปแบบการใช้ชีวิตอิสระ และชอบแสดงออกทางการแต่งตัว การเล่นกีฬา หรือ การสร้างสรรค์งานศิลปะ ซึ่งนิยามคำว่าเด็กสตรีทนั้นไม่ได้จำกัดอยู่ที่แค่การเป็นเด็ก Hip Hop หรือ คนที่ชอบเล่นกีฬา Extreme แต่ เพียงเท่านั้น ตัวอย่างของเด็กสตรีทที่ได้รับการยอมรับในวงกว้างของเมืองไทยนั้นก็มีให้ เห็นอย่างเช่น คริส หอวัง เรย์ แมคโดนัล และ สมาชิกทั้งสาม แห่งวงไทเทเนียม ขัน เดย์ และ เวย์เป็นต้น

บทความที่ได้รับความนิยม

BW-LINKs.comหาเพื่อนรู้ใจ MSN